FAQ

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ทั้งหมดของ Hopeful

Beta Oil
1. Beta Oil ช่วยเรื่องอะไร?
Beta Oil ช่วยลดไขมันเลว (LDL), ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ หลอดเลือดอุดตัน อัมพฤกษ์ อัมพาต รวมถึงช่วยควบคุมความดันโลหิต และลดการอักเสบของหลอดเลือด


2. ใครบ้างที่เหมาะกับการทาน Beta Oil?
- ผู้มีไขมันในเลือดสูง
- ผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ ความดัน เบาหวาน
- คนที่น้ำหนักเกิน ขาดการออกกำลังกาย
- คนที่ชอบทานของมัน ของทอด
- เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพระยะยาวโดยไม่ใช้ยารุนแรง

3. ต้องทานนานเท่าไรจึงเห็นผล?
ประมาณ 4-8 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลในการลดไขมันและควบคุมความดัน
แนะนำให้ตรวจวัดไขมันในเลือดและความดันประกอบควบคู่


4. ทานยังไงให้ได้ผลดีที่สุด?
วันละ 1 เม็ด หลังอาหารเย็น (ช่วงที่ร่างกายสังเคราะห์ไขมันมากที่สุด)
ถ้าทานยาลดไขมัน Cholestyramine ให้แยกเวลากับ Beta Oil
ส่วนยาลดไขมันตัวอื่นทานร่วมกันได้ปกติ

5. มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังไหม?
ต้องระวังในกรณีเหล่านี้
- ห้ามใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
- ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้ส่วนประกอบ
- ห้ามใช้ร่วมกับยา Deferoxamine
- ควรปรึกษาแพทย์ถ้ามีโรคตับ, ตับอักเสบ, อยู่ระหว่างเคมีบำบัด, ตั้งครรภ์, โรคไต, หรือใช้ยากดภูมิ
- หากใช้ยาละลายลิ่มเลือด เช่น Warfarin หรือ Apixaban ควรเฝ้าระวังการ เกิดเลือดออก เช่นจ้ำเลือด ปัสสาวะ/อุจจาระเป็นเลือด

6. มีผลข้างเคียงไหม?
โดยทั่วไปถือว่าปลอดภัยมาก แต่บางรายอาจพบ
- อาการกรดไหลย้อน จุกแน่น แน่นท้อง
- คลื่นไส้ อาเจียน (จาก Vitamin C)
- ท้องเสีย (มักเกิดในคนที่ไวต่อไขมัน)
- ทานหลังอาหารทันทีช่วยลดผลข้างเคียงได้

7. Beta Oil ต่างจากน้ำมันปลายังไง?
Beta Oil ใช้น้ำมันพืชไม่อิ่มตัว (เช่น รำข้าว, มะกอก, คาโนล่า)
ไม่มีคาว ไม่มีสารปนเปื้อนจากทะเล
เสริมสารสำคัญอื่น เช่น ไฟโตสเตอรอล, วิตามิน E, เปปไทด์จากข้าวสีนิล, L-Arginine

8. คนทานยาความดันอยู่แล้วทานได้ไหม?
ได้ แต่ควรเฝ้าระวังความดันต่ำเกินไป (เช่น หน้ามืด เวียนหัว)
ถ้ามีอาการให้ลดปริมาณเหลือวันเว้นวันหรือปรึกษาแพทย์

9. Beta Oil เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหรือยา?
เป็น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่เน้นการป้องกัน/ดูแลสุขภาพ ไม่ใช่ยารักษาโรค

10. ต้องปรับพฤติกรรมอะไรควบคู่ด้วยไหม?
ควรปรับเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
- รับประทานอาหารแบบ DASH Diet
- งดของทอด/มัน/เค็ม/หวาน
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- งดบุหรี่/แอลกอฮอล์
- ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ BMI ปกติ
Beta Herb
1. Beta Herb คืออะไร?
Beta Herb เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พัฒนาขึ้นเพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เสริมระบบภูมิคุ้มกัน บำรุงการทำงานของตับ และช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดรวมถึงสุขภาพหัวใจแข็งแรง เหมาะสำหรับผู้ที่มีภาวะเบาหวานหรือเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน


2. Beta Herb เหมาะกับใคร?
เหมาะสำหรับผู้ที่มีลักษณะอาการหรือพฤติกรรมเหล่านี้
- ผู้ที่เป็นเบาหวานหรือมีแนวโน้มจะเป็น
- มีน้ำตาลในเลือดสูง
- มีอาการชาหรือรู้สึกเย็นปลายมือปลายเท้า
- ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะกลางคืน
- ชอบทานของหวาน แป้ง เบเกอรี่ หรือของหวานจัด

3. ควรทาน Beta Herb อย่างไร?
ทานครั้งละ 1-2 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ก่อนอาหารเช้า 10-15 นาที
เริ่มต้นแนะนำให้เริ่มที่ 1 เม็ดก่อนในสัปดาห์แรก หากไม่มีอาการผิดปกติ ค่อยเพิ่มเป็น 2 เม็ด

4. ถ้าทานก่อนอาหารไม่ได้ ต้องทำยังไง?
สามารถทาน พร้อมหรือหลังอาหารได้ แต่อย่าทิ้งช่วงห่างจากมื้ออาหารนานเกินไป เพื่อป้องกันอาการน้ำตาลตก

5. สามารถทานร่วมกับยาเบาหวานได้ไหม?
ได้ครับ แต่ควรแยกมื้อกับยาเบาหวาน และ สังเกตอาการน้ำตาลตก เช่น
- หน้ามืด
- มือสั่น
- เหงื่อออกมากผิดปกติ
- หากพบอาการเหล่านี้ควรลดขนาดหรือความถี่ในการรับประทาน และปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ

6. มีผลข้างเคียงไหม?
โดยทั่วไป Beta Herb ปลอดภัย แต่อาจมีอาการในบางราย เช่น
- ปวดท้อง
- คลื่นไส้
- น้ำตาลตก
- ปากแห้ง
- คัน หรือผื่นแพ้
- ควรสังเกตตัวเองในช่วง 3-7 วันแรกของการใช้


7. ใครไม่ควรใช้ Beta Herb?
ไม่แนะนำให้ใช้ในผู้ที่มีภาวะหรืออยู่ในกลุ่มต่อไปนี้
- หญิงตั้งครรภ์
- เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
- ผู้ที่แพ้น้ำผึ้ง เห็ด อาหารทะเล หรือส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์
- ผู้ใช้ ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin
- ผู้ใช้ อินซูลิน (Insulin) ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- ผู้มีภาวะเลือดออกง่าย หรือมีโรคเกี่ยวกับการแข็งตัวของเลือด

8. มีปฏิกิริยากับยาอื่นๆ หรือไม่?
ควรระวังเป็นพิเศษหากใช้ร่วมกับยาเหล่านี้
- ยาเบาหวาน: อาจทำให้น้ำตาลตก ควรแยกมื้อ
- ยาฆ่าเชื้อกลุ่ม Fluoroquinolone: ควรเว้นห่าง 26 ชั่วโมง
- ยาเสริมธาตุเหล็ก/แคลเซียม: ควรแยกมื้อเพื่อไม่ให้แร่ธาตุรบกวนการดูดซึม
- ยาต้านเกล็ดเลือด/ยาต้านการแข็งตัวของเลือด: อาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก
- อินซูลิน (Insulin): เสี่ยงน้ำตาลตก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

9. ผู้ป่วยโรคไตสามารถทานได้หรือไม่?
ผู้ป่วย ไตระยะ 1-2 สามารถทานได้
ผู้ที่ฟอกไต หรือมีข้อจำกัดด้านโปรตีน/แร่ธาตุ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

10. ใช้แล้วน้ำตาลตก ควรทำอย่างไร?
ดื่มน้ำหวานเข้มๆ ทันที ลดขนาดหรือเว้นวันในการทานในวันถัดไป
หากอาการรุนแรง เช่น หน้ามืด หนาวสั่น เหงื่อท่วม ให้หยุดใช้และพบแพทย์ทันที

11. ต้องใช้ต่อเนื่องแค่ไหนจึงเห็นผล?
โดยทั่วไปควรใช้อย่างต่อเนื่อง 4-8 สัปดาห์ เพื่อให้เห็นผลชัดเจนในด้านการควบคุมระดับน้ำตาล
แนะนำให้ ควบคู่กับการปรับอาหาร ออกกำลังกาย และการพักผ่อน เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน

12. สามารถทานร่วมกับวิตามินหรืออาหารเสริมอื่นได้ไหม?
สามารถทานร่วมกันได้ในกรณีทั่วไป
แต่ควรเว้นระยะห่างหากอาหารเสริมชนิดนั้นมี
- ธาตุเหล็ก (Iron)
- แคลเซียม
- Zinc หรือ Magnesium
เพราะอาจรบกวนการดูดซึมของกันและกันได้
Beta LIV Pro Plus
1. BETA LIV PRO PLUS คืออะไร?
BETALIV PRO PLUS คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการบำรุงและฟื้นฟูตับ โดยใช้สูตรนวัตกรรม LIVOX ที่รวมสารสกัดจากธรรมชาติกว่า 9 ชนิด เพื่อ
- เพิ่มประสิทธิภาพในการขจัดสารพิษของตับ
- ลดการอักเสบและความเสียหายของเซลล์ตับ
- ป้องกันการเกิดผังพืดในตับ และลดไขมันพอกตับ
- ช่วยลดอาการเมาค้าง และฟื้นฟูร่างกายหลังดื่มแอลกอฮอล์

2. BETA LIV PRO PLUS เหมาะกับใคร?
เหมาะสำหรับผู้ที่
- ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ
- มีภาวะไขมันพอกตับ หรือตับอักเสบ
- มีไขมันในเลือดสูง เสี่ยงต่อโรคตับ
- ทานยาหลายชนิดเป็นประจำ และต้องการดูแลตับเพิ่มเติม

3. ควรทาน BETALIV PRO PLUS อย่างไร?
ทานเพื่อบำรุงตับ:
วันละ 1 เม็ด (ทั่วไป) หรือ 2 เม็ด (ช่วงตับอักเสบ) หลังอาหารเช้า
ทานเพื่อป้องกันอาการแฮงค์:
ทาน 1-2 เม็ดก่อนดื่มแอลกอฮอล์ 30-60 นาที

4. มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?
ห้ามใช้ในผู้ที่
- แพ้สารประกอบในผลิตภัณฑ์
- เป็นโรคตับแข็งระยะสุดท้ายที่มีอาการทางสมอง
- ใช้ยา Sulfasalazine
- แพ้นมวัว หรือแพ้ข้าว (มีบัควีท)
- มีนิ่วหรือท่อน้ำดีอุดตัน
- เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี และหญิงตั้งครรภ์
- เสพสารเสพติด เช่น กัญชา โคเคน กระท่อม

ควรปรึกษาแพทย์/เภสัชกร หาก
- ใช้ยาต้านแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin
- เป็นผู้ป่วยไตระยะฟอกไต
- ใช้ยาที่มีปฏิกิริยากับสาร CYP3A4 หรือ P-gp
- เป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง หรือใช้ยากดภูมิ

5. มีผลข้างเคียงหรือไม่?
โดยทั่วไปปลอดภัย แต่บางรายอาจพบอาการ
- จากส้มขม: ผิวไวต่อแสง, ปวดหัว
- จากโคลีนไบทาร์เทรต: เหงื่อออกมาก, มีกลิ่นตัว, ท้องเสีย
- จากน้ำนมเหลือง, Artichoke: ท้องอืด ลมเยอะ
- จาก ALA: ผื่นแดง, คลื่นไส้
แนะนำให้สังเกตอาการในช่วง 3- 7 วันแรกของการเริ่มใช้

6. สามารถทานร่วมกับยาได้หรือไม่?
มีบางยาที่ควรระวัง เช่น
- ยาลดน้ำตาลในเลือด (เสี่ยงน้ำตาลตก): ควรแยกมื้อ
- ยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Aspirin, Clopidogrel: เสี่ยงเลือดออก หากมีอาการให้หยุดใช้
- ยากดภูมิ, ยานอนหลับ, ยาขยายหลอดลม: ให้สังเกตอาการ
- ยาต้านมะเร็งบางชนิด เช่น Cisplatin: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- ยาอื่น เช่น Simvastatin, Carbamazepine, Levothyroxine, Nimodipine: ให้เฝ้าระวังผลข้างเคียง

ถ้าไม่แน่ใจ แนะนำให้แจ้งชื่อยาที่ใช้อยู่แก่เภสัชกรหรือผู้ให้คำแนะนำก่อนใช้

7. ผู้ป่วยโรคไตสามารถทานได้หรือไม่?
ไตระยะ 1-2 สามารถทานได้
ผู้ที่ฟอกไต หรือมีข้อจำกัดด้านแร่ธาตุ/โปรตีน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

8. ใช้แล้วเลือดออกหรือมีจ้ำ ควรทำอย่างไร?
หากพบอาการดังต่อไปนี้
- INR สูง
- อุจจาระ/ปัสสาวะเป็นเลือด
- อุจจาระดำคล้ำร่วมกับปวดท้อง
- มีจ้ำเลือดหรือฟกช้ำที่ผิดปกติ
ให้หยุดใช้ BETALIV PRO PLUS ทันที และพบแพทย์

9. สามารถทานร่วมกับอาหารเสริมหรือวิตามินอื่นได้ไหม?
โดยทั่วไป สามารถทานร่วมกันได้
แต่ควรเว้นระยะห่างหากมีสารที่อาจรบกวนการดูดซึม เช่น
- ธาตุเหล็ก
- แคลเซียม
- Zinc หรือ Magnesium

10. ใช้ BETALIV PRO PLUS นานแค่ไหนจึงเห็นผล?
โดยทั่วไปควรใช้ต่อเนื่อง 48 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลชัดเจนในด้าน
- การฟื้นฟูตับ
- ลดอาการอ่อนเพลีย
- ลดอาการเมาค้าง
- ลดค่าการอักเสบของตับ
ควรปรับพฤติกรรมร่วมด้วย เช่น ลดของทอด งดแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อผลลัพธ์ที่ยั่งยืน
Beta CAL Pro Plus

1. BETA CAL PRO PLUS คืออะไร?
BETA CAL PRO PLUS คือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงกระดูก กล้ามเนื้อ และข้อ โดยมีนวัตกรรม CalFusion ที่ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก เพิ่มน้ำไขข้อ และลดการอักเสบในข้อต่อ พร้อมด้วยวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วน ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงกระดูกพรุนและข้อเสื่อมในระยะยาว

2. BETA CAL PRO PLUS เหมาะกับใคร?
- ผู้สูงอายุที่เสี่ยงกระดูกพรุน
- ผู้ที่ออกกำลังกายหนัก หรือใช้กล้ามเนื้อบ่อย
- ผู้ที่มีอาการปวดข้อหรือข้อเสื่อม
- ผู้ที่ต้องการบำรุงข้อเข่า กระดูกสันหลัง และข้อต่อในระยะยาว

3. ควรทาน BETA CAL PRO PLUS อย่างไร?
ทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ควรทานก่อนอาหารเช้า 30 นาที หรือ
หลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้ Collagen Type II ดูดซึมได้เต็มที่
หากทานแล้วรู้สึกแสบท้อง ให้เปลี่ยนมาทานหลังอาหารเช้าได้

4. มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?
ห้ามใช้ในผู้ที่
- แพ้สารประกอบในผลิตภัณฑ์
- เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
- หญิงตั้งครรภ์
- มีนิ่วในไตหรือถุงน้ำดี
- ท่อน้ำดีอุดตัน
- ใช้ยา Sulfasalazine
- กรณีผ่าตัดนิ่วออกแล้ว สามารถทานได้

ควรปรึกษาแพทย์หาก:
- เป็นโรคตับ หรือโรคไตระยะฟอกไต
- ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin
- ใช้ยาหลายชนิด เช่น ยาลดความดัน, ยาต้าน HIV, ยาฆ่าเชื้อบางชนิด

5. มีผลข้างเคียงหรือไม่?
โดยรวมถือว่าปลอดภัยสูง แต่บางรายอาจพบอาการเล็กน้อย เช่น
- ท้องอืด ท้องผูก (จาก Calcium L-Threonate)
- เรอ แสบร้อนยอดอก (จากขิง)
- ท้องเสีย (จากขิง, Magnesium Oxide)

6. ทานร่วมกับยาอะไรได้บ้าง / ควรแยกมื้อกับอะไร?
ควรทานห่างจากยาหรืออาหารเสริมดังต่อไปนี้
- ยาฆ่าเชื้อกลุ่ม Tetracycline, Fluoroquinolone
- ยารักษากระดูกพรุนกลุ่ม Bisphosphonate
- ธาตุเหล็ก, วิตามิน ALA, ฟลูออไรด์
- ยาต้าน HIV เช่น Dolutegravir
- ยาลดความดันบางชนิด เช่น Nifedipine (อาจมีผลกับ Calcium)
- Orlistat (ลดดูดซึมวิตามิน D)
- ยาลดไขมัน (Cholestyramine)
- ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของยา


7. ผู้ป่วยโรคไตสามารถทานได้หรือไม่?
ไตระยะ 1-2 สามารถทานได้
ผู้ที่ฟอกไตหรือมีข้อจำกัดด้านแร่ธาตุควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

8. ผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ทานได้หรือไม่?
สามารถใช้ได้ในบางราย แต่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากขิงและขมิ้นชันอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก

สังเกตอาการดังต่อไปนี้
- จ้ำเลือดผิดปกติ
- อุจจาระดำ ปัสสาวะ/อุจจาระเป็นเลือด
- INR สูงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
- หากพบอาการเหล่านี้ให้หยุดใช้และรีบพบแพทย์

9. สามารถทานร่วมกับอาหารเสริมอื่นได้ไหม?
สามารถทานได้โดยทั่วไป แต่หากอาหารเสริมนั้นมี
- แร่ธาตุที่ดูดซึมตีกัน เช่น Zinc, Iron, Calcium อื่น ๆ
- วิตามิน ALA
- ควรแยกมื้ออย่างน้อย 2 ชั่วโมง

10. ต้องใช้ต่อเนื่องแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
แนะนำให้ใช้อย่างต่อเนื่อง 4-8 สัปดาห์ ขึ้นไป จะเริ่มเห็นผลในเรื่อง
- มวลกระดูกเพิ่มขึ้น
- ข้อเข่าอักเสบลดลง
- การเคลื่อนไหวดีขึ้น
- หากควบคู่กับการออกกำลังกายเบาๆ และการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี จะช่วยเสริมผลได้ดียิ่งขึ้น

11. ต้องปรับพฤติกรรมอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?
- รับแดดตอนเช้าเพื่อกระตุ้นวิตามิน D
- ทานอาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม งาดำ ปลาตัวเล็ก
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดิน, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ
- เลี่ยงการนั่งพับเพียบ นั่งยอง นั่งขัดสมาธิ
- ควบคุมน้ำหนัก ลดแรงกดที่ข้อเข่า

Beta Life

1. BETA LIFE คืออะไร?
BETA LIFE เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พัฒนาขึ้นเพื่อดูแลและบำรุงไตโดยเฉพาะ ด้วยนวัตกรรม RENERGY ที่ช่วย
- ปกป้องเซลล์ไตจากอนุมูลอิสระและสารพิษ
- ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อไต
- ชะลอความเสื่อมของไต
- ลดความเสี่ยงการขาดสารอาหารที่สำคัญในผู้ป่วยโรคไต
- เพิ่มความสดชื่น มีแรง และฟื้นตัวดีขึ้นในชีวิตประจำวัน

2. BETA LIFE เหมาะกับใคร?
- ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังทุกระยะ (ที่ยังไม่ฟอกไต)
- ผู้ที่เพิ่งฟื้นตัวจากไตวายเฉียบพลัน หรือเพิ่งปลูกถ่ายไต
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่คุมได้ไม่ดี เช่น เบาหวาน, ความดัน
- ผู้ที่มีประวัติโรคไตในครอบครัว
- ผู้ที่ใช้ยา/อาหารเสริมจำนวนมาก
- ผู้ที่ชอบอาหารเค็ม ของหมักดอง หรือไขมันสูง

3. ควรทาน BETA LIFE อย่างไร?
รับประทานวันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า
หากทานพร้อมยาอื่น ๆ ให้แยกมื้ออย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง

4. มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?
ห้ามใช้ในผู้ที่
- แพ้เห็ด หรือสารประกอบในผลิตภัณฑ์
- เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
- หญิงตั้งครรภ์ (ควรปรึกษาแพทย์ก่อน)

ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้หาก
- เป็นผู้ป่วยฟอกไต
- อยู่ระหว่างการรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด
- เป็นโรคแพ้ภูมิตนเองหรือใช้ยากดภูมิ
- ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Warfarin, Clopidogrel

5. มีผลข้างเคียงหรือไม่?
โดยทั่วไปปลอดภัย แต่บางรายอาจพบ
- ไม่สบายท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
- ปากแห้ง คอแห้ง
- คันตามผิวหนัง หรือผื่นแดงเล็กน้อย (จาก ALA หรือเห็ดหลินจือ)
- ทานหลังอาหารช่วยลดอาการไม่สบายท้องได้ดี

6. สามารถทานร่วมกับยาอื่นได้ไหม?
สามารถทานได้ส่วนใหญ่ แต่ควรระวังหรือแยกมื้อในกรณีต่อไปนี้
- ควรแยกมื้อ (อย่างน้อย 2 ชม.)
- ยาลดไขมัน (Cholestyramine)
- Orlistat (ยาลดดูดซึมไขมัน)

ควรเฝ้าระวังอาการ
- ยาลดความดัน: หากความดันต่ำผิดปกติ ให้หยุดใช้
- ยาเบาหวาน: หากน้ำตาลตก ให้ลดขนาดหรือปรึกษาแพทย์
- ยาคีโม: ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจลดฤทธิ์ยา
- Digoxin: สังเกตอาการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ
- Warfarin / Apixaban / Clopidogrel:
ควรสังเกตอาการเลือดออก เช่น
- ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด
- จุดจ้ำเลือดผิดปกติ
- อุจจาระดำคล้ำร่วมกับปวดท้อง

7. ผู้ป่วยฟอกไตสามารถทานได้ไหม?
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เพราะอาจมีข้อจำกัดด้านโปรตีนหรือแร่ธาตุบางชนิดในแต่ละราย

8. ทานแล้วรู้สึกวิงเวียนหรือหน้ามืดเกิดจากอะไร?
อาจเกิดจากความดันหรือน้ำตาลลดต่ำชั่วคราว หากพบอาการ
- วิงเวียน
- มือสั่น ใจสั่น
- เหงื่อออกมาก
- ให้ลองดื่มน้ำหวาน หยุดใช้ 1-2 วัน และลดขนาดเหลือวันละ 1 เม็ด
หากอาการยังคงอยู่ให้ปรึกษาแพทย์

9. ต้องใช้ต่อเนื่องแค่ไหนจึงเห็นผล?
โดยทั่วไปควรใช้อย่างต่อเนื่อง 4-8 สัปดาห์
เพื่อให้เห็นผลด้าน
- ลดอาการอ่อนเพลีย
- ปรับสมดุลของวิตามินในผู้ป่วยไต
- ป้องกันการอักเสบและชะลอความเสื่อมของไต
- แนะนำให้ควบคู่กับการดูแลอาหารและควบคุมโรคเบาหวาน/ความดันอย่างเหมาะสม

10. ต้องปรับพฤติกรรมอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?
ควรปรับดังนี้
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, ความดัน
- ลดการทานเค็ม หวาน มัน
- งดผัก-ผลไม้ที่มี Oxalate หรือ Potassium สูง (เช่น ผักโขม, กล้วย, ทุเรียน)
- ทานยาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
- งดสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ และพักผ่อนให้เพียงพอ

Beta X+
1. Beta X+ คืออะไร?
Beta X+ เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พัฒนาขึ้นเพื่อเสริมสุขภาพของระบบทางเดินหายใจโดยเฉพาะ ด้วยนวัตกรรม Genuclean ที่ช่วย
- Detox ปอดและระบบทางเดินหายใจ
- ลดอาการภูมิแพ้ หายใจติดขัด
- เสริมภูมิคุ้มกันเพื่อต้านไวรัส แบคทีเรีย และมลพิษ
- ช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น ลดอาการเหนื่อยง่าย

2. Beta X+ เหมาะกับใคร?
- ผู้ที่เป็นภูมิแพ้ หอบหืด ไอเรื้อรัง
- ผู้ที่ต้องเผชิญกับฝุ่นควัน มลพิษเป็นประจำ
- ผู้ที่รู้สึกแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก เหนื่อยง่าย
- ผู้ที่อยากบำรุงปอดและภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
- ผู้ที่ต้องการลดความเสี่ยงการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ

3. ควรทาน Beta X+ อย่างไร?
ทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 1 ครั้ง หลังอาหารเช้า
เมื่ออาการเริ่มดีขึ้น อาจลดเหลือวันละ 1 เม็ด เพื่อบำรุงและป้องกันอาการกำเริบ

4. มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?
ห้ามใช้ในผู้ที่
- แพ้สารประกอบในผลิตภัณฑ์
- เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
- หญิงตั้งครรภ์ (ควรปรึกษาแพทย์ก่อน)
- ใช้ยา Deferoxamine (มี Vitamin C)
- มีนิ่วในถุงน้ำดี (แต่ นิ่วในไตทานได้)
- เป็นโรคเกล็ดเลือดต่ำและมีประวัติเกิดเลือดออกผิดปกติ
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ หาก
- อยู่ระหว่างใช้ยาเคมีบำบัด
- ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน
- เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง เช่น SLE, MS, รูมาตอยด์
- เป็นโรคตับ หรือฟอกไต

5. มีผลข้างเคียงหรือไม่?
โดยรวมปลอดภัยสูง แต่บางรายอาจพบ
- คลื่นไส้, ปวดท้อง, ท้องเสีย
- เรอ, แสบร้อนยอดอก (จากขิง/กระชาย)
- ตัวร้อน หน้าแดง (จาก L-cysteine)
- สดชื่นจนนอนไม่หลับ (จาก Vitamin B กลุ่มกระตุ้นพลังงาน)
- ทานหลังอาหารทันทีช่วยลดผลข้างเคียงได้ดี

6. สามารถทานร่วมกับยาอื่นได้ไหม?
สามารถทานได้ส่วนใหญ่ แต่ ควรระวัง/แยกมื้อในกรณีต่อไปนี้
แนะนำแยกมื้ออย่างน้อย 2-6 ชม. หากใช้ร่วมกับ:
- ยาโรคกระดูกพรุน: Alendronate, Risedronate
- ยาต้าน HIV: Dolutegravir
- Orlistat
-Theophylline, Propranolol, Clozapine, Melatonin

ควรสังเกตอาการหากใช้ร่วมกับ
- ยาลดความดัน: ระวังความดันต่ำ
- ยาเบาหวาน: ระวังน้ำตาลตก
- ยาคีโม: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
- ยากดภูมิ: สอบถามแพทย์ก่อนใช้ Beta Glucan ได้หรือไม่
- ยาต้านเกล็ดเลือด และต้านการแข็งตัวของเลือด: เช่น Warfarin, Clopidogrel สังเกตอาการเลือดออกผิดปกติ

7. ผู้ป่วยโรคไตสามารถทานได้หรือไม่?
- ระยะที่ 1-2: ทานได้
- ระยะฟอกไต หรือมีการจำกัดแร่ธาตุ: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

8. ใช้แล้วมีอาการเลือดออก ต้องทำยังไง?
หากพบอาการต่อไปนี้
- จ้ำเลือดผิดปกติ
- อุจจาระดำคล้ำ / มีเลือด
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- ค่า INR สูงขึ้นผิดปกติ
- ให้ หยุดใช้ Beta X+ ทันที และรีบพบแพทย์


9. สามารถทานร่วมกับอาหารเสริมอื่นได้ไหม?
สามารถทานร่วมกันได้ทั่วไปแต่ ควรเว้นระยะห่างหากมีแร่ธาตุที่อาจตีกัน
เช่น Zinc, Magnesium, Iron หรือ Beta-carotene ร่วมกับ Orlistat

10. ต้องใช้ต่อเนื่องแค่ไหนจึงเห็นผล?
โดยทั่วไป ควรใช้ต่อเนื่อง 4-8 สัปดาห์ จะเริ่มเห็นผลชัดในด้าน
- หายใจโล่งขึ้น
- ภูมิแพ้ลดลง
- ไม่เจ็บคอ ไอ หรือเหนื่อยง่ายเหมือนก่อน
สามารถทานระยะยาวเพื่อบำรุงปอดและเสริมภูมิคุ้มกันได้
โดยลดเหลือวันละ 1 เม็ดได้หากอาการดีขึ้นแล้ว

11. ควรปรับพฤติกรรมอะไรเพิ่มเติมไหม?
- หลีกเลี่ยงฝุ่นควัน มลพิษ และควันบุหรี่
- พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
- ทำความสะอาดบ้าน ลดไรฝุ่นและสารก่อภูมิแพ้
- สวมหน้ากากอนามัยเวลาออกนอกบ้านหรือช่วงมลพิษสูง
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อเสริมสมรรถภาพปอด
Lab Farm
1. LAB FARM คืออะไร และเหมาะกับใคร?
LAB FARM คือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ถูกออกแบบมาเพื่อ
- เสริมภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น
- ลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งและโรคสะเก็ดเงิน
- เสริมการดูแลผู้ป่วยโรคมะเร็งทุกระยะ
เหมาะกับผู้ที่ต้องการดูแลร่างกายอย่างครอบคลุมและปลอดภัย

2. วิธีรับประทาน LAB FARM อย่างไร?
- หาก ไม่ได้ป่วยหรืออยู่ในระยะเริ่มต้น (ระยะที่ 1): รับประทานวันละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า
- หาก อยู่ในระยะที่ 2 ขึ้นไป: รับประทานวันละ 2 เม็ด แบ่งเป็นเช้าและเย็นหลังอาหาร
รับประทานต่อเนื่องทุกวันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

3. LAB FARM มีผลข้างเคียงหรือไม่?
โดยทั่วไป "ปลอดภัยสูง" แต่ในบางรายอาจพบ
- ปวดหัว มึนหัว (จากแปะก๊วย)
- ปวดท้อง คลื่นไส้ หรือท้องเสีย (จากขิงหรือโสม)
- นอนไม่หลับถ้าทานตอนเย็น (จากวิตามินบีรวม)
- แนะนำให้เริ่มทานในช่วงเช้า และหากมีอาการผิดปกติควรหยุดใช้และปรึกษาแพทย์

4. คนที่เป็นโรคมะเร็งสามารถใช้ LAB FARM ได้ไหม?
สามารถทานได้ LAB FARM ออกแบบมาเพื่อเสริมการดูแลผู้ป่วยมะเร็งโดยเฉพาะ โดยมีสารสำคัญอย่าง Beta Glucan, Quercetin, Sea Buckthorn และตำรับสมุนไพรจีน ที่ช่วยต้านมะเร็ง ลดการอักเสบ และเสริมภูมิคุ้มกันอย่างมีงานวิจัยรองรับ

5. LAB FARM ปลอดภัยหรือไม่ ถ้าใช้ร่วมกับยาอื่นๆ?
ควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชก่อนใช้หากกำลังใช้ยาเหล่านี้
- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin, Apixaban (ห้ามใช้)
- ยากดภูมิคุ้มกัน, ยากันชัก, ยาลดความดัน, ยาเบาหวาน, ยาลดไขมัน ฯลฯ ️
ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชก่อนใช้ และเฝ้าระวังอาการ

6. ผู้ป่วยโรคไตสามารถใช้ LAB FARM ได้หรือไม่?
ไตระยะ 1-2: สามารถใช้ได้
ผู้ที่ฟอกไต หรือควบคุมโปรตีนและแร่ธาตุ: ควร หลีกเลี่ยง หรือปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

7. หญิงตั้งครรภ์หรือเด็กสามารถใช้ LAB FARM ได้ไหม?
** ไม่แนะนำ **
เนื่องจากมีสมุนไพรบางชนิด (เช่น พริกไทยดำ แปะก๊วย) ที่ไม่ปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์
ไม่แนะนำให้ใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี


8. ถ้าทาน LAB FARM แล้วมีอาการเลือดออกผิดปกติต้องทำอย่างไร?
ให้หยุดใช้ทันทีและรีบไปพบแพทย์ หากพบอาการเช่น
- จุดจ้ำเลือดตามตัว
- อุจจาระ/ปัสสาวะเป็นเลือด
- อุจจาระสีดำคล้ำ ปวดท้องรุนแรง

9. สามารถใช้ LAB FARM ควบคู่กับเคมีบำบัดหรือการรักษาแบบอื่นได้หรือไม่?
สามารถใช้ ควบคู่ได้ หากไม่ได้อยู่ในกลุ่มที่แพทย์ห้าม
เช่น
- ใช้ยากดภูมิหรือยาต้านการแข็งตัวของเลือด แต่ ควรแจ้งแพทย์หรือผู้ดูแลก่อนทุกครั้ง เพื่อพิจารณาร่วมกับแผนการรักษา

10. LAB FARM มีจุดเด่นเรื่องสารสำคัญอะไรบ้าง?
- Immuneo Plus Formula (Beta Glucan + Sea Buckthorn)
- กระตุ้นภูมิคุ้มกัน NK Cell และ Macrophage
- ลดขนาดเนื้องอกได้สูงสุด 50%
- มีฤทธิ์ 3AI: Anticancer, Anti-inflammation, Antioxidant + Immune Booster
- Quercetin: ยับยั้งการแบ่งตัวของเซลล์มะเร็ง
- Maqui Berry, วิตามิน D3, B รวม, สมุนไพรจีนหยินหยาง: ต้านอนุมูลอิสระ ปรับสมดุลร่างกาย และลดความเสี่ยงของมะเร็งแบบองค์รวม
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ นโยบายคุกกี้
เปรียบเทียบสินค้า
0/4
ลบทั้งหมด
เปรียบเทียบ
Powered By MakeWebEasy Logo MakeWebEasy