1. BETA CAL PRO PLUS คืออะไร?
BETA CAL PRO PLUS คือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อบำรุงกระดูก กล้ามเนื้อ และข้อ โดยมีนวัตกรรม CalFusion ที่ช่วยเสริมสร้างมวลกระดูก เพิ่มน้ำไขข้อ และลดการอักเสบในข้อต่อ พร้อมด้วยวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วน ช่วยให้เคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ลดความเสี่ยงกระดูกพรุนและข้อเสื่อมในระยะยาว
2. BETA CAL PRO PLUS เหมาะกับใคร?
- ผู้สูงอายุที่เสี่ยงกระดูกพรุน
- ผู้ที่ออกกำลังกายหนัก หรือใช้กล้ามเนื้อบ่อย
- ผู้ที่มีอาการปวดข้อหรือข้อเสื่อม
- ผู้ที่ต้องการบำรุงข้อเข่า กระดูกสันหลัง และข้อต่อในระยะยาว
3. ควรทาน BETA CAL PRO PLUS อย่างไร?
ทานครั้งละ 2 เม็ด วันละ 1 ครั้ง ควรทานก่อนอาหารเช้า 30 นาที หรือ
หลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เพื่อให้ Collagen Type II ดูดซึมได้เต็มที่
หากทานแล้วรู้สึกแสบท้อง ให้เปลี่ยนมาทานหลังอาหารเช้าได้
4. มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?
ห้ามใช้ในผู้ที่
- แพ้สารประกอบในผลิตภัณฑ์
- เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
- หญิงตั้งครรภ์
- มีนิ่วในไตหรือถุงน้ำดี
- ท่อน้ำดีอุดตัน
- ใช้ยา Sulfasalazine
- กรณีผ่าตัดนิ่วออกแล้ว สามารถทานได้
ควรปรึกษาแพทย์หาก:
- เป็นโรคตับ หรือโรคไตระยะฟอกไต
- ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เช่น Warfarin
- ใช้ยาหลายชนิด เช่น ยาลดความดัน, ยาต้าน HIV, ยาฆ่าเชื้อบางชนิด
5. มีผลข้างเคียงหรือไม่?
โดยรวมถือว่าปลอดภัยสูง แต่บางรายอาจพบอาการเล็กน้อย เช่น
- ท้องอืด ท้องผูก (จาก Calcium L-Threonate)
- เรอ แสบร้อนยอดอก (จากขิง)
- ท้องเสีย (จากขิง, Magnesium Oxide)
6. ทานร่วมกับยาอะไรได้บ้าง / ควรแยกมื้อกับอะไร?
ควรทานห่างจากยาหรืออาหารเสริมดังต่อไปนี้
- ยาฆ่าเชื้อกลุ่ม Tetracycline, Fluoroquinolone
- ยารักษากระดูกพรุนกลุ่ม Bisphosphonate
- ธาตุเหล็ก, วิตามิน ALA, ฟลูออไรด์
- ยาต้าน HIV เช่น Dolutegravir
- ยาลดความดันบางชนิด เช่น Nifedipine (อาจมีผลกับ Calcium)
- Orlistat (ลดดูดซึมวิตามิน D)
- ยาลดไขมัน (Cholestyramine)
- ควรเว้นระยะอย่างน้อย 2-6 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับชนิดของยา
7. ผู้ป่วยโรคไตสามารถทานได้หรือไม่?
ไตระยะ 1-2 สามารถทานได้
ผู้ที่ฟอกไตหรือมีข้อจำกัดด้านแร่ธาตุควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้
8. ผู้ที่ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด ทานได้หรือไม่?
สามารถใช้ได้ในบางราย แต่ควรเฝ้าระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากขิงและขมิ้นชันอาจเพิ่มความเสี่ยงเลือดออก
สังเกตอาการดังต่อไปนี้
- จ้ำเลือดผิดปกติ
- อุจจาระดำ ปัสสาวะ/อุจจาระเป็นเลือด
- INR สูงขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
- หากพบอาการเหล่านี้ให้หยุดใช้และรีบพบแพทย์
9. สามารถทานร่วมกับอาหารเสริมอื่นได้ไหม?
สามารถทานได้โดยทั่วไป แต่หากอาหารเสริมนั้นมี
- แร่ธาตุที่ดูดซึมตีกัน เช่น Zinc, Iron, Calcium อื่น ๆ
- วิตามิน ALA
- ควรแยกมื้ออย่างน้อย 2 ชั่วโมง
10. ต้องใช้ต่อเนื่องแค่ไหนถึงจะเห็นผล?
แนะนำให้ใช้อย่างต่อเนื่อง 4-8 สัปดาห์ ขึ้นไป จะเริ่มเห็นผลในเรื่อง
- มวลกระดูกเพิ่มขึ้น
- ข้อเข่าอักเสบลดลง
- การเคลื่อนไหวดีขึ้น
- หากควบคู่กับการออกกำลังกายเบาๆ และการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดี จะช่วยเสริมผลได้ดียิ่งขึ้น
11. ต้องปรับพฤติกรรมอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?
- รับแดดตอนเช้าเพื่อกระตุ้นวิตามิน D
- ทานอาหารที่มีแคลเซียม เช่น นม งาดำ ปลาตัวเล็ก
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เช่น เดิน, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำ
- เลี่ยงการนั่งพับเพียบ นั่งยอง นั่งขัดสมาธิ
- ควบคุมน้ำหนัก ลดแรงกดที่ข้อเข่า
1. BETA LIFE คืออะไร?
BETA LIFE เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่พัฒนาขึ้นเพื่อดูแลและบำรุงไตโดยเฉพาะ ด้วยนวัตกรรม RENERGY ที่ช่วย
- ปกป้องเซลล์ไตจากอนุมูลอิสระและสารพิษ
- ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อไต
- ชะลอความเสื่อมของไต
- ลดความเสี่ยงการขาดสารอาหารที่สำคัญในผู้ป่วยโรคไต
- เพิ่มความสดชื่น มีแรง และฟื้นตัวดีขึ้นในชีวิตประจำวัน
2. BETA LIFE เหมาะกับใคร?
- ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังทุกระยะ (ที่ยังไม่ฟอกไต)
- ผู้ที่เพิ่งฟื้นตัวจากไตวายเฉียบพลัน หรือเพิ่งปลูกถ่ายไต
- ผู้ที่มีโรคเรื้อรังที่คุมได้ไม่ดี เช่น เบาหวาน, ความดัน
- ผู้ที่มีประวัติโรคไตในครอบครัว
- ผู้ที่ใช้ยา/อาหารเสริมจำนวนมาก
- ผู้ที่ชอบอาหารเค็ม ของหมักดอง หรือไขมันสูง
3. ควรทาน BETA LIFE อย่างไร?
รับประทานวันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า
หากทานพร้อมยาอื่น ๆ ให้แยกมื้ออย่างน้อย 1-2 ชั่วโมง
4. มีข้อห้ามหรือข้อควรระวังอะไรบ้าง?
ห้ามใช้ในผู้ที่
- แพ้เห็ด หรือสารประกอบในผลิตภัณฑ์
- เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี
- หญิงตั้งครรภ์ (ควรปรึกษาแพทย์ก่อน)
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้หาก
- เป็นผู้ป่วยฟอกไต
- อยู่ระหว่างการรักษามะเร็งด้วยยาเคมีบำบัด
- เป็นโรคแพ้ภูมิตนเองหรือใช้ยากดภูมิ
- ใช้ยาต้านการแข็งตัวของเลือด หรือยาต้านเกล็ดเลือด เช่น Warfarin, Clopidogrel
5. มีผลข้างเคียงหรือไม่?
โดยทั่วไปปลอดภัย แต่บางรายอาจพบ
- ไม่สบายท้อง คลื่นไส้ อาเจียน
- ปากแห้ง คอแห้ง
- คันตามผิวหนัง หรือผื่นแดงเล็กน้อย (จาก ALA หรือเห็ดหลินจือ)
- ทานหลังอาหารช่วยลดอาการไม่สบายท้องได้ดี
6. สามารถทานร่วมกับยาอื่นได้ไหม?
สามารถทานได้ส่วนใหญ่ แต่ควรระวังหรือแยกมื้อในกรณีต่อไปนี้
- ควรแยกมื้อ (อย่างน้อย 2 ชม.)
- ยาลดไขมัน (Cholestyramine)
- Orlistat (ยาลดดูดซึมไขมัน)
ควรเฝ้าระวังอาการ
- ยาลดความดัน: หากความดันต่ำผิดปกติ ให้หยุดใช้
- ยาเบาหวาน: หากน้ำตาลตก ให้ลดขนาดหรือปรึกษาแพทย์
- ยาคีโม: ควรปรึกษาแพทย์ เนื่องจากอาจลดฤทธิ์ยา
- Digoxin: สังเกตอาการเต้นผิดจังหวะของหัวใจ
- Warfarin / Apixaban / Clopidogrel:
ควรสังเกตอาการเลือดออก เช่น
- ปัสสาวะหรืออุจจาระเป็นเลือด
- จุดจ้ำเลือดผิดปกติ
- อุจจาระดำคล้ำร่วมกับปวดท้อง
7. ผู้ป่วยฟอกไตสามารถทานได้ไหม?
ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ เพราะอาจมีข้อจำกัดด้านโปรตีนหรือแร่ธาตุบางชนิดในแต่ละราย
8. ทานแล้วรู้สึกวิงเวียนหรือหน้ามืดเกิดจากอะไร?
อาจเกิดจากความดันหรือน้ำตาลลดต่ำชั่วคราว หากพบอาการ
- วิงเวียน
- มือสั่น ใจสั่น
- เหงื่อออกมาก
- ให้ลองดื่มน้ำหวาน หยุดใช้ 1-2 วัน และลดขนาดเหลือวันละ 1 เม็ด
หากอาการยังคงอยู่ให้ปรึกษาแพทย์
9. ต้องใช้ต่อเนื่องแค่ไหนจึงเห็นผล?
โดยทั่วไปควรใช้อย่างต่อเนื่อง 4-8 สัปดาห์
เพื่อให้เห็นผลด้าน
- ลดอาการอ่อนเพลีย
- ปรับสมดุลของวิตามินในผู้ป่วยไต
- ป้องกันการอักเสบและชะลอความเสื่อมของไต
- แนะนำให้ควบคู่กับการดูแลอาหารและควบคุมโรคเบาหวาน/ความดันอย่างเหมาะสม
10. ต้องปรับพฤติกรรมอะไรเพิ่มเติมหรือไม่?
ควรปรับดังนี้
- ควบคุมโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน, ความดัน
- ลดการทานเค็ม หวาน มัน
- งดผัก-ผลไม้ที่มี Oxalate หรือ Potassium สูง (เช่น ผักโขม, กล้วย, ทุเรียน)
- ทานยาแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
- งดสูบบุหรี่ แอลกอฮอล์ และพักผ่อนให้เพียงพอ